ถ้าพูดถึงงานขายก็ต้องบอกว่าเป็นงานที่เจ๋งมากๆงานหนึ่ง

เป็นงานที่เต็มไปด้วยโอกาสทางตรงทั้งในเรื่องตัวเงินหรือค่าตอบแทน

 

รวมถึงโอกาสแฝงทางอ้อมมากมายเช่นการได้พบปะรู้จักผู้คนมากหน้าหลายตาและธุรกิจหลากหลายประเภท

อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่ได้มองในมุมโลกสวยอย่างเดียว ต้องพูดตรงๆเลยว่างานขายก็มีเนื้องานบางอย่างที่น่าเบื่อหรือไม่สนุกซ่อนอยู่

 

เช่นต้องทำงานเอกสารที่ยุ่งยากซับซ้อน

ต้องทำรายงานการขายที่บางครั้งหัวหน้าก็ไม่ได้อ่าน

 

เผลอๆบางทีต้องมานั่งแบกของส่งของเองอีกต่างหาก

อันนี้ยอมรับครับว่ามีจริงในงานขาย ไม่มีทางที่คุณจะสบายและได้ทำแต่งานเลิศๆอย่างเดียว

 

แต่อย่างไรก็ตาม ผมอยากจะแนะนำในฐานะนักขายรุ่นพี่ว่า “อย่าเกี่ยงงาน dirty work เหล่านี้เด็ดขาด”

 

เรื่องเล่าจากผู้ที่ประสบความสำเร็จ

ผมขออธิบายโดยการเล่าเรื่องให้ฟังเรื่องหนึ่ง

ตัวผมเองเคยทำงานที่บริษัทเกาหลียักษ์ใหญ่บริษัทหนึ่ง เป็นช่วงระยะเวลาสั้นๆที่ได้เรียนรู้อะไรมากมาย

 

สิ่งที่ใหญ่ที่สุดที่ผมได้เรียนรู้คือมาจากตัว MD หรือผู้บริหารสูงสุดอันดับ 1 ที่ประจำที่ประเทศไทยขณะนั้นซึ่งเป็นชาวเกาหลี

ผู้บริหารท่านนั้นเริ่มต้นจากการสมัครงานหลังเรียนจบเหมือนกับนักศึกษาจบใหม่ทั่วไป

 

สุดท้ายประกาศผล เค้าได้รับการคัดเลือกจากบริษัทยักษ์ใหญ่ดังกล่าวให้เข้าร่วมงาน

บริษัทที่ว่านั้นมีการคัดเลือกอย่างเข้มข้นเพื่อจะเอาแต่ผู้สมัครหัวกะทิเท่านั้นเข้าร่วมงาน

 

ตอนรู้ว่าได้งานนี้เค้าก็แทบจะปิดซอยฉลองเพราะเป็นที่ทำงานที่เข้ายากมาก

แต่พอไปทำงานจริงช่วงแรกก็พบว่าภาพที่วาดไว้ไม่ได้เป็นอย่างที่ฝัน

 

เค้าถูกบรรจุเข้าทำงานในแผนกบุคคลโดยรับตำแหน่งแอดมิน

โดยเนื้องานหลักที่ให้ทำคือ “จองสนามกอล์ฟให้ผู้บริหาร” ไม่ได้ให้ทำอะไรมากไปกว่านั้นเลย

 

แค่ฟังก็ช็อคแล้วใช่หรือไม่ครับ อุตส่าห์เรียนมาแทบตาย แถมฝ่าฝันสอบเข้าบรรจุและสัมภาษณ์ไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ

สุดท้ายต้องมานั่งโทรศัพท์จองสนามกอล์ฟอย่างเดียว

 

สองคนยลตามช่อง

แต่เค้าไม่ได้มองเช่นนั้นครับ 

ตามสุภาษิตไทยที่ว่า “สองคนยลตามช่อง”

 

คนนึงเห็นแต่ปัญหา อีกคนเห็นโอกาส

ใช่แล้วครับ ตัวเค้ามองเห็นโอกาสในงานนี้ซึ่งดูเหมือนว่าไม่มีอะไรที่น่าสนใจหรือน่าเรียนรู้เลยซักนิด

 

แต่สิ่งที่เค้าทำคือ เค้าก้มหน้าก้มตาทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างดีที่สุด

เค้าทำจนกระทั่งได้สถิติการจองสนามกอล์ฟที่มากที่สุดและเร็วที่สุดเหนือแอดมินคนอื่นๆ

 

มากและเร็วจนกระทั่งคนอื่นอดถามไม่ได้ว่าหลังๆใครเป็นคนจองสนามกอล์ฟเนี่ย ทำไมมันได้เร็วได้ง่ายขนาดนี้

เค้ามุ่งมั่นถึงขั้นสละเวลากินข้าวเที่ยงมานั่งโทร

 

เพราะเค้าเรียนรู้ว่าการโทรจองตอนเที่ยงนั้นน่าจะจองได้ง่ายเพราะคนอื่นไปกินข้าวกันหมด แต่สนามกอล์ฟมีพนักงาน stand by ที่เค้าจะโทรคุยได้

นั่นแปลว่าเค้าเล็งแล้วว่าจะทำงานนี้ได้ดีกว่าคู่แข่งทุกคน

 

เค้าไม่ปริปากบ่นว่าได้งานแย่ๆมาทำ แต่มุ่งมั่นคิดว่างานที่ทำนั้นจะทำอย่างไรถึงจะออกมาได้ดีที่สุดกว่าคนอื่น

ดีเสียจนกระทั่งคนอดไม่ได้ที่ต้องหันมาดู สนใจ และชื่นชมการทำงาน

 

แน่นอนครับว่าเค้าไม่ได้เติบโตจากแอดมินเป็น MD เลยโดยทันที

แต่คาแรคเตอร์และทัศนคติในการทำงานเช่นนี้เป็นตัวหล่อหลอมให้เค้าประสบความสำเร็จจนสุดท้ายแหกทุกด่านขึ้นมาเป็นผู้บริหารเบอร์ 1 ประจำสาขาประเทศไทยทันที

 

อะไรคือบทเรียนที่สำคัญที่สุดจากเรื่องนี้

แน่นอนครับว่าเรื่องนี้มีบทเรียน

ผมอยากให้ทุกคนโดยเฉพาะเด็กจบใหม่ได้เรียนรู้เรื่องนี้

 

การทำงานบางอย่างที่ดูเหมือนจะไม่มีคุณค่านั้น แท้จริงมันมีคุณค่าซ่อนอยู่อย่างมหาศาล

และจากเรื่องที่เล่านี้ บทเรียนที่ผมอยากสรุปคือ

 

1. ถ้าจะไปดวงจันทร์คุณต้องเดินให้พ้นปากซอยก่อน

บางคนคิดว่าอุตส่าห์เรียนมาแทบตาย ความสามารถตัวเองก็ล้นเหลือ ทำไมต้องมานั่งทนทำงานอะไรก็ไม่รู้ที่ไม่เห็นมีค่าเลย

นี่คือความคิดที่ผิดถนัด

 

มองในมุมนี้ก็อาจจะใช่ กล่าวคือบริษัทอาจจะใช้งานคุณไม่คุ้มค่า

แต่อีกมุมหนึ่งที่มองได้คือ “ขนาดงานแค่นี้คุณยังทำไม่ได้หรือคุณยังเกี่ยงงาน” แล้วนับภาษาอะไรกับงานที่ยากกว่านี้

 

เปรียบเทียบแล้วเหมือนคุณกำลังจะมีภารกิจไปดวงจันทร์

เสร็จแล้วคุณก็เกี่ยงว่าไม่อยากเดินไปหน้าปากซอยเองโดยกล่าวอ้างว่า

 

“นี่ผมจะไปดวงจันทร์นะ แล้วจะให้ผมเดินลุยน้ำคร่ำ เดินเสี่ยงให้หมาเห่าหมากัดออกมาจากซอยได้ยังไง ทำไมไม่ส่งรถลีมูซีนมารับผมหละ”

ซึ่งในอีกมุมหนึ่งอาจจะมองได้ว่า “ขนาดเดินออกมาจากปากซอยคุณยังทำไม่ได้ แล้วอุปสรรคอื่นที่คุณจะเจอตอนอยู่ดวงจันทร์คุณจะก้าวข้ามไปได้อย่างไร”

 

2. คุณค่าที่ซ่อนอยู่ในทุกงานคือ “โอกาส” ที่เราจะโชว์ให้คนเห็นคาแรคเตอร์ของตัวเอง

ในทางกลับกันถ้าคุณไม่เกี่ยงงานแม้งานนั้นจะไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรมากมายทั้งกับตัวคุณเองหรือบริษัทก็ตาม

สิ่งที่คุณจะได้คือการโชว์ให้ทุกคนเห็นว่าคุณพร้อมจะลุยพร้อมจะสู้

 

ไม่ใช่มีแต่ข้ออ้างและเลือกที่จะทำแต่งานที่ตัวเองชอบอย่างเดียว

ดังนั้นงานบางงานดูเหมือนจะน่าเบื่อและดูแล้วไม่ได้สร้างคุณค่าหรือส่งผลต่อยอดขาย

 

แต่ถ้าคุณเลือกที่จะไม่ทำเลยก็ไม่ได้

ถามตัวเองให้ชัดนะครับว่างานที่ว่านั้นไม่มีคุณค่าใดๆเลยหรือแท้จริงแล้วคุณกำลังหาข้ออ้างหรูๆเพราะแท้จริงขี้เกียจทำเอง

 

3. ไม่เกี่ยงงานหนักใดๆ

และถ้าคุณเป็นคนที่ไม่มองข้ามงานเล็กๆน้อยๆที่ดูเหมือนเป็น Dirty Work

สุดท้ายสิ่งที่คุณจะได้คือทัศนคติที่ยอดเยี่ยมกล่าวคือคุณจะไม่เกี่ยงงานหนัก

 

ในขณะที่เพื่อนรอบข้างของคุณอาจจะพร่ำบ่นว่างานที่เข้ามานั้นมันช่างหนักและน่าเบื่อเหลือเกิน

แต่ตัวคุณเองจะไม่มองเช่นนั้น

 

เผลอๆคุณจะมองว่างานที่เข้ามาซึ่งดูน่าเบื่อนั้นเป็นขนมหวานของคุณทันที

เพราะแย่กว่านี้ หนักกว่านี้ น่าเบื่อกว่านี้คุณก็เคยผ่านมาเรียบร้อยแล้ว

 

สุดท้ายด้วยแนวคิดเช่นนี้ โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จหรือได้รับโอกาสใหม่ๆก่อนคนอื่นก็มีมากขึ้นอย่างแน่นอน

 

บทสรุป

อย่าเกี่ยงงานหรือคิดว่าเราเก่งกว่างานที่ได้รับ

จริงอยู่ที่มันอาจจะเสียเวลาและคุณอาจจะสร้างคุณค่าได้มากกว่าเนื้องานที่ได้รับ

 

อย่างไรก็ตามคุณต้องบาลานซ์ให้ดี ไม่ผิดที่คุณจะ work smart และใช้ความสามารถของตัวคุณเองอย่างคุ้มค่า

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องเลือกงานและทำเฉพาะงานที่เจ๋งๆอย่างเดียว

 

นั่นคือโลกอุดมคติจนเกินไป

ให้มองทุกงานที่คุณจำเป็นต้องทำคือการสร้างโอกาส

 

แล้วสุดท้ายมันจะต่อยอดให้คุณได้รับสิ่งใหม่ๆโดยที่คุณเองอาจจะไม่คาดคิดก็เป็นได้ครับ