Jim Rohn ผู้ซึ่งเป็นหนึ่งในกูรูด้านการพัฒนาตัวเองที่สำคัญคนหนึ่งของโลกได้กล่าวไว้ว่า

95% ของความสำเร็จของเราขึ้นอยู่กับคนที่เราสุงสิงด้วยมากที่สุด 5 คน

 

และลองคิดในอีกมุมหนึ่ง เวลาที่เราใช้ในแต่ละวันมากที่สุดคือ “เวลาทำงานหรือเวลาในการอยู่ที่ทำงาน”

ดังนั้นคนที่มีอิทธิพลต่อคุณมากที่สุดคือ “เพื่อนร่วมงานนั่นเอง”

 

อันนี้ไม่ได้หมายความว่าให้คุณสวย เริ่ม เชิด หยิ่ง และเลือกคบคน

แน่นอนว่าคำแนะนำของผมคือให้อ่อนน้อมถ่อมตน ไปลามาไหว้ทุกคนตามขนบธรรมเนียมที่ดี

 

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรจะสุงสิงกับทุกๆคน

มาดูกันครับว่าใครบ้างเป็นลิสต์แอปเปิ้ลเน่าที่คุณควรจะเอาตัวออกห่างให้เร็วที่สุด

 

1)คนที่คิดแต่ว่า “ไม่ได้”

เวลาที่บริษัทให้นโยบายอะไรเช่น โฟกัสในการขายสินค้าตัวใหม่ หรือเพิ่มเป้าในการวิ่งหาลูกค้า จะมีคนสองกลุ่มเสมอ

กลุ่มแรกคือกลุ่มที่โฟกัสในการหาเหตุผลว่า “เป้าที่บริษัทให้มาจะทำไม่ได้เพราะอะไร”

 

เช่นบริษัทบอกว่าให้ขายสินค้าตัวใหม่ที่เพิ่งนำเข้ามา

คนกลุ่มนี้จะบอกว่า ขายไม่ได้หรอกเพราะ

 

  • สินค้าเราไม่มีชื่อเสียง
  • ราคาเราแพง
  • สต็อคไม่รู้จะพอรึเปล่า
  • ลูกค้าไม่ค่อยอยากได้สินค้าตัวนี้กันแล้ว
  • คู่แข่งมีโปรโมชั่นแรงกว่าเรา
  • และอื่นๆ

 

แต่จะมีคนอีกกลุ่มหนึ่งโฟกัสไปที่ “ต้องทำอย่างไรจึงจะขายได้” โดยสิ่งที่พวกเค้าคิดคือ

 

  • ต้องนำเสนออย่างไรลูกค้าจึงจะสนใจ
  • ต้องติดตามถี่แค่ไหนถึงจะปิดการขายได้
  • ลองโทรไปถามท๊อปเซลล์ในบริษัทดีกว่าว่าที่เค้าขายได้เค้าทำอย่างไร
  • ลองศึกษาคู่แข่งให้ละเอียด เพื่อเวลานำเสนอจะได้บอกลูกค้าได้ว่าของเราดีอย่างไร
  • มีการ forecast ยอดขายที่ละเอียดที่สุดเพื่อจะให้ข้อมูลฝ่ายการผลิตในการเตรียมสต็อคที่พอดี
  • และอื่นๆ

 

คุณพอจะเห็นความแตกต่างหรือไม่ครับ คุณคิดว่าคนกลุ่มไหนที่จะประสบความสำเร็จและคนกลุ่มไหนที่คุณควรจะต้องเลือกไปสุงสิงด้วย

ผมว่าคำตอบน่าจะชัดเจนในตัวมันเอง

 

2)I know Best

นี่เป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่น่ากลัวมากๆและคุณตัวรีบเอาตัวออกห่างอย่างรวดเร็ว

กลุ่ม I Know Best คือพวกที่คิดว่าตัวเองรู้ดีที่สุดแล้ว

 

ตัวอย่างสคริปต์ที่คุณน่าจะได้ยินจากคนกลุ่มนี้คือ

 

  • “ผมเคยทำมา 3 ปีแล้ว สินค้านี้ขายไม่ได้หรอก”
  • “ผมอยู่วงการนี้มานาน ลูกค้าเค้าไม่เอาแนวนี้”
  • “ผมเคยอยู่บริษัทนึงมาก่อน อีกที่นึงเค้าก็ไม่ทำแบบนี้หรอก”

 

จริงอยู่ที่ประสบการณ์ของคนเหล่านั้นมีค่ามากมาย

แต่ปัญหาอยู่ที่ทัศนคติต่างหาก

 

คำถามคือ จริงหรือครับที่ขายไม่ได้เลยแม้แต่เจ้าเดียว

จริงหรือครับที่ลูกค้าไม่มีใครเอาเลย

 

จริงหรือครับที่บริษัทอื่นขายไม่ได้แล้วเราก็ต้องขายไม่ได้เหมือนกัน

จริงหรือครับที่ขายไม่ได้เป็นเพราะสินค้าหรือลูกค้าล้วนๆ ตัวเราในฐานะนักขายไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้วเลยหรือที่จะผลักดันยอดขาย

 

ลองเช็คดูนะครับ ถ้าเจอกลุ่ม “I Know Best” ให้คุณชิ่งหนีให้เร็วที่สุดครับ

 

3)Point Finger

แปลง่ายๆคือพวก “ชี้นิ้ว”

ไม่ใช่ชี้นิ้วสั่งนะครับ แต่เป็นชี้นิ้วตำหนิว่าปัจจัยต่างๆของบริษัทเป็นสาเหตุที่ทำให้ตัวเค้าขายไม่ได้ 

 

คล้ายๆกับข้อแรก คนกลุ่มนี้จะไวมากในการโทษปัจจัยภายนอก

เราจะได้ยินข้อตำหนิจากพวกเค้าอยู่เสมอ แต่คนเดียวที่เค้าไม่เคยตำหนิคือ “ตัวเอง”

 

บทสรุปคือ ที่เค้าขายไม่ได้นั้นเพราะตัวเค้าไม่ผิดอะไรเลย

บริษัทต่างหากที่ไม่ได้ช่วยเค้ามากพอเลยทำให้ขายไม่ได้

 

ซ้ำร้ายคนกลุ่มนี้จะเชิญชวนให้คนอื่นๆในบริษัทเห็นคล้อยตามและพลอยก่นด่าบริษัทไปด้วย

จริงอยู่ที่บริษัทอาจทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง 100% แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าการยกพวกรุมก่นด่าบริษัทจะเป็นสิ่งที่ควรกระทำ

 

ต้องถามตัวเองก่อนว่า ในส่วนของตัวเรานั้นมีอะไรอีกหรือไม่ที่เรายังทำได้หรือแก้ไขได้ 

จริงหรือไม่ที่เราทำเต็มที่ 100% และไม่มีอะไรจะแก้ไขได้อีกแล้ว

 

ซึ่งแน่นอนว่าคำตอบชัดเจนในตัวมันเอง เรายังมีอะไรที่แก้ไขให้ดีขึ้นได้อยู่เสมอแม้บริษัทจะยังมีปัญหาบางส่วนอยู่

อย่าเอาตัวเข้าไปใกล้คนที่คอยแต่จะ Point Finger หรือชี้นิ้วก่นด่าบริษัทโดยเด็ดขาด

 

บทสรุป

การเลือกคบเพื่อนนั้นสำคัญมากต่อความสำเร็จของตัวเอง

บางครั้งที่เราเดินไม่ถึงเป้าเสียทีเป็นเพราะคนรอบข้างที่เราสุงสิงอยู่ด้วย

 

แนะนำให้เอาตัวออกห่างจากคน 3 ประเภทนี้ถ้าคุณอยากประสบความสำเร็จ

ประเภทแรกคือพวกที่โฟกัสแต่ “สาเหตุที่จะทำไม่ได้” แทนที่จะโฟกัสว่า “ต้องทำอย่างไรถึงจะได้”

 

ประเภทที่สองคือพวกที่คิดว่าข้าเก่งแล้ว

ประเภทที่สามคือพวกที่เน้นก่นด่าบริษัท

 

ถ้าเริ่มรู้สึกตัวว่ามีคนประเภทนี้อยู่ใกล้ตัว ผมแนะนำให้เอาตัวออกห่างทันที

ไม่เช่นนั้นโอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จจะยิ่งน้อยลงเรื่อยๆอย่างที่คุณเองก็อาจคิดไม่ถึงนะครับ