บทที่ 181: 3 ขั้นตอนป้องกันปัญหาเวลานักขายลาออก
พนักงานลาออกเป็นสิ่งที่เราคาดหวังจะไม่ให้เกิดโดยเฉพาะกับนักขายที่มีผลงานดี
อย่างไรก็ตาม ถ้าสุดท้ายเราทำเต็มที่และพนักงานยังคงลาออกอยู่ดี สิ่งที่เราต้องทำคือ “เตรียมตัว”
และหนึ่งในการเตรียมตัวที่สำคัญคือการป้องกันปัญหาที่อาจจะตามมาจากการที่พนักงานคนดังกล่าวไม่อยู่แล้ว
ใช่แล้วครับ บทความนี้จะมาพูดถึง 3 ขั้นตอนที่จะช่วยให้แผนของคุณไม่ตกหล่น
มาดูกันเลยครับว่าถ้ามีพนักงานขายลาออก อะไรคือสิ่งที่เราต้องทำเพื่อเป็นการปัองกันปัญหาบ้าง
1)งานที่ค้างทั้งหมด
อย่าใช้แค่ถามอย่างเดียว
เพราะถ้าคุณแค่ถามคนที่กำลังจะลาออกว่า ทุกอย่างเรียบร้อยหรือยัง
คำตอบส่วนใหญ่จะตอบว่า “เรียบร้อยแล้วครับ”
คุณต้องลงไปดูให้ละเอียดว่ามีงานอะไรที่ค้างอยู่บ้าง ตัวอย่างของ checklist มีดังต่อไปนี้
- ลูกค้าใหม่ที่กำลังติดตามทั้งหมดมีใครบ้าง
- มีค้างการบ้านอะไรที่ต้องส่งลูกค้าเหล่านั้นบ้าง
- ลูกค้าเก่ามีเคสค้างอะไรบ้าง
- Sales Report ทั้งหมดทำเรียบร้อยแล้วหรือไม่
- เอกสารและไฟล์ทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ต่ออยู่ที่ไหน
นี่คือรายละเอียดที่คุณต้องนั่งไล่เช็คให้ครบหมด 100%
หวังว่าบริษัทของคุณจะมีนโยบายการแจ้งออกล่วงหน้าอย่างน้อย 1 เดือนและบังคับใช้อย่างเข้มข้น
เพราะคุณต้องการเวลาไม่น้อยกว่า 1 เดือนจริงๆในการจัดการกับรายละเอียดที่ว่านี้ทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม งานของคุณในส่วนนี้อาจจะต้องเร่งมือขึ้นเป็นหลายเท่าตัวในกรณีที่นักขายคนดังกล่าวลาออกไปอยู่กับคู่แข่ง
นั่นแปลว่าคุณอาจจะต้องให้เค้าลาออกโดยมีผลเลยทันที
ซึ่งคุณจำเป็นต้องเร่งมือในการเช็ครายละเอียดที่ว่าให้เร็วที่สุดและครบถ้วนที่สุดเท่าที่จะทำได้
2)ลูกค้า Top 20%
จากกฏ 80/20 จำนวนลูกค้า 20% มักจะมีส่วนแบ่งยอดขาย 80% ของทั้งหมด
ดังนั้นคุณจำเป็นต้องลงลึกถึง Top 20% ที่ว่าให้ได้
ตามอุดมคติคือเราต้องลงลึกให้ได้ทุกราย แต่ก็อย่างว่า นั่นคือภาพอุดมคติ
ในทางปฏิบัติเราคงไม่สามารถทำได้เช่นนั้นทุกกรณีโดยเฉพาะในเคสที่นักขายคนหนึ่งถือฐานลูกค้าในจำนวนที่ค่อนข้างสูง
แต่ถ้านักขายคนหนึ่งมีลูกค้าแค่ไม่กี่รายในมือก็ถือว่าแล้วไป
เอาล่ะ คราวนี้มาดูตัวอย่างกันว่าเราควรทำอะไรกับลูกค้าเหล่านี้บ้าง
- บอกให้นักขายคนที่จะลาออกให้โทรหาลูกค้าเหล่านั้นทุกรายเพื่อแจ้งเรื่องลาออก
- ต้องตรวจสอบรายละเอียดประวัติการซื้อขายอย่างเข้มข้นและตรวจสอบดูว่าหลังพนักงานคนนั้นลาออกแล้วมีอะไรผิดปกติหรือไม่
- มีงาน routine หรืองานประจำอะไรที่ต้องทำให้ลูกค้ารายดังกล่าว เพื่อให้การลาออกของพนักงานคนนั้นไม่ส่งผลกระทบ
ถ้ามีเวลามากพอ เราอาจจะขยายขอบเขตการทำการบ้านตรงนี้เพื่อให้ครอบคลุมมากกว่าลูกค้า Top 20% ก็น่าจะดี
3)คนที่ดูแลแทน
ถ้าให้สมบูรณ์แบบที่สุดคือมีคนมาแทนเรียบร้อยและส่งถ่ายงานกันก่อนที่คนเก่าจะลาออก
แต่ในความเป็นจริงไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
กว่าจะหาคนมาแทน กว่าจะสอนงาน กว่าจะเริ่มติดต่อลูกค้าได้ ฯลฯ
แต่อย่าลืมว่านั่นคือปัญหาของเรา ไม่ใช่ปัญหาของลูกค้าแต่อย่างใด เราต้องแก้ตรงนี้แทนลูกค้า
ดังนั้นขั้นตอนสุดท้ายคือคุณต้องหาคนที่มาดูแลแทนชั่วคราวให้ได้
ทางเลือกมีดังต่อไปนี้
- ให้ Sales Manager ดูแลแทน
- ให้ Sales Admin รับเรื่องแทน
- ให้เซลล์คนอื่นดูแลแทนชั่วคราว
- แจ้ง call center หรือ customer service เบอร์เฉพาะให้ลูกค้าในระหว่างที่รอเซลล์ใหม่มา
ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม เป้าหมายคือทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าเรารับผิดชอบและต้องการส่งถ่ายงานกันให้ลูกค้าไม่สะดุด
แน่นอนว่าการสะดุดอาจมีเล็กน้อย
แต่วิธีดังกล่าวอย่างน้อยเป็นการโชว์ให้ลูกค้าเห็นว่าเราใส่ใจและมีความพยายาม
ต้องใช้สถานการณ์นี้ในการพลิกวิกฤติเป็นโอกาสและทำให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ไม่ใช่แค่มานั่งนึกเหนื่อยและเสียดายที่พนักงานของเราลาออก
บทสรุป
แน่นอนว่าการลาออกของพนักงานโดยเฉพาะคนที่มีความสามารถนั้นเป็นสิ่งที่เราหวังว่าจะไม่เกิด
แต่เมื่อเกิดแล้วก็ต้องแก้ไขตามหน้างาน
มี 3 ขั้นตอนที่จะช่วยปัองกันปัญหาเวลานักขายลาออกได้
ขั้นตอนแรกจะต้องลงลึกในงานที่คั่งค้างทั้งหมด
ขั้นตอนที่สองต้องเจาะลึกเรื่องลูกค้า Top 20%
ขั้นตอนที่สามต้องวางแผนเรื่องคนดูแลแทนให้ดี
ถ้าทำได้ตามนี้ ปัญหาที่ตามมาอาจจะน้อยลงหรือไม่มีเลย
และสุดท้ายอาจจะดีถึงขั้นพลิกวิกฤตเป็นโอกาสเลยก็เป็นได้ครับ